วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ธุรกิจอาชีพ

ความหมายของอาชีพ
          อาชีพ (Occupation) หมายถึง การทำกิจกรรม การทำงาน การประกอบการใดๆ ที่ก่อให้เกิดผลผลิตและรายได้ เป็นงานที่สุจริต ไม่ผิดศีลธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยอาศัยแรงงาน ความรู้ ทักษะ  อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการต่าง ๆ กันไป

ความสำคัญของอาชีพ
การมีอาชีพเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในวิถีชีวิตและการดำรงชีพของบุคคล เพราะอาชีพสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว อาชีพจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของตนเอง และครอบครัวดีขึ้น  เศรษฐกิจประเทศโดยรวมจะดีตามไปด้วย การสร้างอาชีพก่อให้เกิดตลาดแรงงาน อาชีพก่อให้เกิดผลผลิตและการบริการที่สนองตอบความต้องการของผู้บริโภค  อาชีพมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ   ถือว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต  เศรษฐกิจชุมชน  ส่งผลถึงความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ

สาเหตุของการแบ่งงานและอาชีพ
          - ความรูความสามารถของแต่ละคนแตกต่างกัน
          - ลักษณะทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศของแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน
          - ไดรับมอบหมายใหกระทำหน้าที่แตกต่างกัน
ประโยชน์ของการแบ่งงานอาชีพ
          - สามารถสนองความต้องการซึ่งกันและกันได้
          - ได้ทำงานในสิ่งที่ตนถนัด
          - ก่อให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจในด้านต่างๆ

ลักษณะของงานอาชีพ
          ลักษณะของงานอาชีพ มีดังนี้
          1. อาชีพเกษตรกรรม เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ บุคคลที่เลือกประกอบอาชีพเกษตรกรรมต้องมีความชอบและรักการปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ มีความเอาใจใส่  ไม่รังเกียจความสกปรก  ต้องอดทนต่อสภาพดินฟ้อากาศ  งานที่เกี่ยวข้องคือ การปลูกพืชสวน พืชไร่ การปศุสัตว์ และการประมง ฯลฯ

          2. อาชีพธุรกิจ  เป็นงานที่เกี่ยวกับธุรกิจและการค้า (Business and Distributive) อาชีพธุรกิจ คือ  การทำงานด้านการค้าขาย การบัญชี การจัดการธุรกิจ   การเก็บเอกสาร  การติดต่อสื่อสาร  และเทคโนโลยีสารสนเทศ

          3. อาชีพอุตสาหกรรม เป็นงานที่เกี่ยวกับความถนัดด้านช่าง  และเครื่องมือเครื่องจักรอุตสาหกรรม  เพื่อผลิตสินค้าชนิดต่างๆ รายได้ที่ได้รับ คือ ค่าแรงงานที่เหมาะสมกับระดับความรู้ความสามารถและประสบการณ์

          4. อาชีพคหกรรม  เป็นงานที่เกี่ยวกับการจัดการบ้านเรือน การตกแต่งบ้าน การประกอบอาหาร  การเย็บปักถักร้อย  เพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีและประสิทธิภาพ ในการประกอบอาชีพต่อไป

          5. อาชีพศิลปกรรม  เป็นงานอาชีพที่มุ่งหวังเพื่อเป็นช่างฝีมือที่มีความละเอียดอ่อน  ความคิดสร้างสรรค์  ทั้งด้านศิลปกรรมไทย และศิลปกรรมร่วมสมัย   สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพการจัดทำศิลปะประยุกต์  การตกแต่ง การออกแบบในด้านต่าง ๆ เช่น หัตถกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม เป็นต้น  เพื่อประโยชน์ในการ อนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป

ประเภทของอาชีพ
          ในปัจจุบันอาชีพมีอยู่มากมายให้ประชาชนได้เลือกประกอบอาชีพสุจริต มีรายได้สำหรับตนเองและครอบครัว มีความก้าวหน้าในงานอาชีพ เป็นที่ยอมรับของสังคม                                                      โดยทั่วไปแบ่งประเภทของอาชีพได้ดังนี้
          1. อาชีพข้าราชการ ข้าราชการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ให้บริการประชาชนให้ได้รับความสะดวกสบายในด้านต่าง ๆ เช่น ปลัดอำเภอ นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด ครูอาจารย์ให้ความรู้แก่เยาวชน แพทย์ พยาบาล ตำรวจ ทหาร  เป็นต้น  การทำงานของข้าราชการมีระยะเวลาที่แน่นอน มีวันหยุดราชการ  รายได้ หรือค่าตอบแทนที่ได้รับคือเงินเดือน ซึ่งกำหนดแต่ละระดับชั้นไว้อย่างชัดเจน โอกาสและความก้าวหน้าของงานอาชีพเลื่อนระดับขึ้นได้อยู่ที่ความสามารถของแต่ละบุคคล             แต่ละหน่วยงานจะมีระบบการบริหารงานแตกต่างกันไป เพื่อความสะดวกในการบริหารและประสิทธิภาพในการทำงาน โดยมุ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

         2. อาชีพลูกจ้าง ลูกจ้างหรือพนักงานเป็นการประกอบอาชีพที่ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการ แต่เป็นลูกจ้างหรือพนักงานขององค์กรธุรกิจ หรือหน่วยงานต่าง ๆ โดยปฏิบัติงานตามคำสั่งหรือตามที่ได้รับมอบหมาย ค่าตอบแทนที่ได้รับคือเงินเดือน หรือรายได้ประจำวัน การประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างของคนไทย มีจำนวนมากที่สุด เนื่องจากขาดความรู้ ประสบการณ์ ขาดเงินทุน ไม่กล้าเสี่ยงกับการลงทุน

          3. อาชีพส่วนตัว การประกอบอาชีพส่วนตัวหรืออาชีพอิสระ หมายถึง การประกอบธุรกิจเป็นของตนเอง หรือเป็นการลงทุนร่วมกับบุคคล เป็นนายจ้างตนเอง แต่จะต้องมีความมุ่งมั่น มานะและอดทนในการทำงาน และพร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรค รายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความขยัน ความอดทน และความพยายาม

                   3.1 อาชีพการผลิต (Production Sector) เป็นอาชีพที่ดำเนินการเพื่อให้เกิดผลผลิตสำหรับจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค อาชีพการผลิตแบ่งได้เป็น 2  ประเภท คือ
                             1) ธุรกิจการเกษตร (Agricultural Processing) อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของคนไทยส่วนใหญ่มาช้านาน ผลผลิตที่ได้เป็นผลผลิตขั้นพื้นฐานที่จะนำไป  ประกอบอาชีพในรูปแบบอื่นต่อไป ประกอบด้วย การเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และการประมง

                             2) ธุรกิจอุตสาหกรรม เป็นการประกอบอาชีพที่นำวัตถุดิบทางการเกษตรมาแปรรูปโดยผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมให้เป็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ตามความต้องการ ของตลาดในท้องถิ่นหรือความต้องการของตลาดทั่วประเทศหรือต่างประเทศ

                   3.2  อาชีพการค้า  (Trading Sector) เป็นการประกอบอาชีพที่ผู้ประกอบการทำหน้าที่ผลิตสินค้าหรือซื้อสินค้าจากผู้ผลิตแล้วนำไปขายต่อ เป็นอาชีพที่มีลักษณะซื้อมาขายไป โดยมีกำไรจากการขายสินค้า แบ่งออกได้เป็น  2  ประเภท คือ  ธุรกิจค้าส่ง(Wholesale)  และธุรกิจค้าปลีก (Retail)
                   3.3 อาชีพการให้บริการ  (Service Sector) เป็นอาชีพที่ผู้ประกอบการทำหน้าที่ขายบริการหรือให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้รับบริการหรือลูกค้าซึ่งจะก่อให้เกิดความพึงพอใจจากการใช้บริการ และผู้ให้บริการจะได้รับค่าตอบแทนจากผู้รับบริการ
แนวทางการเลือกอาชีพ

แนวทางในการประกอบอาชีพ
          การเลือกอาชีพของแต่ละบุคคลแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความคาดหวังหรือความคิดของแต่ละบุคคล ดังนั้นแนวทางในการประกอบอาชีพประกอบด้วย
1.  รู้จักตนเอง
2.  รู้จักอาชีพที่จะเลือกดำเนินการ
3.  มีการติดตามการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และ
4.  ทราบแนวโน้มทางเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศ
การประกอบอาชีพอิสระ คือ การประกอบอาชีพส่วนตัวในการผลิตสินค้าและบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย  มีอิสระในการกำหนดรูปแบบและวิธีการได้ตามความเหมาะสมผลตอบแทนที่ได้จากการประกอบอาชีพคือ กำไรจากเงินลงทุน  ดังนั้น  แนวทางในการประกอบอาชีพอิสระที่นำไปสู่ความสำเร็จได้ มีดังนี้

  1. กล้าเสี่ยง                           
  2.  มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพ
  3. มีความคิดสร้างสรรค์          
  4. มีความรู้
  5. มีความเชื่อมั่นตนเอง            
  6. มีมนุษย์สัมพันธ์
  7.  มีความอดทน                      
  8.  มีความซื่อสัตย์
  9. มีวินัยในตนเอง                    
  10.  มีความรู้พื้นฐานในการเริ่มทำธุรกิจ

ปัจจัยในการประกอบอาชีพ
          การประกอบอาชีพให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยปัจจัยต่อไปนี้
          1. ทุน  ควรมีการวางแผนการดำเนินธุรกิจไว้ล่วงหน้า เพื่อจะได้ทราบว่าต้องใช้เงินลงทุนเท่าใด จะหาแหล่งเงินทุนที่ใด เพื่อวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองได้
          2. ความรู้  ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม การฝึกอบรมจากสถาบันด้านอาชีพหรือการทำงานเป็นทีมเกิดความชำนาญ ประสบการณ์ในการทำงานได้
          3. การจัดการ มีการคัดเลือกตัวบุคคลที่จะมาร่วมคิดร่วมทำงานและร่วมลงทุน เครื่องมือ เครื่องใช้และการจัดระบบการทำงานให้เหมาะสมกับธุรกิจที่จะดำเนินการ
          4. การตลาด  หากสินค้าและบริการไม่สามารถสร้างความพอใจให้แก่ผู้บริโภคได้ก็ถือว่าธุรกิจนั้น  ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น ควรมีการวางแผนทางการตลาดการเข้าใจเทคนิคการผลิต การบรรจุหีบห่อ   การออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์เพื่อให้สินค้าและบริการที่ผลิตออกมานั้นเป็นที่ต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

วิธีการถนอมอาหาร

วิธีการถนอมอาหาร
มีมาตั้งแต่สมัยโบราณที่เกิดจากภูมิปัญญาไทย การถนอมอาหารช่วยให้สามารถเก็บอาหารไว้บริโภคได้เป็นเวลานาน โดยที่อาหารนั้นไม่สูญเสียคุณภาพ ซึ่งวิธีการถนอมอาหารมีหลายวิธีสามารถทำได้เองและง่ายมาก ซึ่งเรามาดูวิธีถนอมอาหารกันดีกว่าค่ะ😀
1. การถนอมอาหารโดยการใช้ความร้อน
ปัจจุบันนิยมปรุงอาหารรับประทานโดยการต้ม ทอด ปิ้ง นึ่ง และวิธีอื่น ๆ ที่ต้องใช้ความร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรคในอาหาร เมื่อเรารับประทานอาหารไม่หมดหรือมีปริมาณอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก เราก็จะถนอมอาหารด้วยการใช้ความร้อนกันเป็นส่วนมาก

หลักการถนอมอาหารโดยใช้ความร้อน
คือ การผ่านความร้อนลงในอาหารเพื่อทำลาย
จุลินทรีย์ในอาหารที่สำคัญได้แก่
การใช้ความร้อน
การถนอมอาหารโดยใช้ความร้อน หมายถึง การใช้ความร้อนฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารเพื่อป้องกันการเน่าเสีย ทำโดยการเพิ่มอุณหภูมิผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้น ส่วนใหญ่จะนิยมการต้ม การใช้ความร้อนทำได้ 3 วิธี คือ
1.1การพาสเจอไรส์
เป็นการใช้ความร้อนที่ต่ำกว่าจุดเดือด ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดทำให้เกิดโรคในอาหารแต่จะฆ่าได้ไม่ทั้งหมด ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์นี้จะต้องเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อ ป้องกันการเน่าเสียระหว่างเก็บ
1.2 การสเตอริไลส์ เป็นการใช้ความร้อนที่อุณภูมิสูงกว่าจุดเดือด (มากกว่า 100 องศาเซลเซียส) ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้เกือบหมด ยกเว้นจุลินทรีย์ที่ความร้อนมาก ๆ ได้ ผลิตภัณฑ์สเตอริไลส์สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น แต่ต้องบรรจุในภาชนะสะอาดและผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว และปิดฝาสนิท
1.3 ใช้ความร้อนที่สูงกว่าอุณหภูมิน้ำเดือด โดยอาศัยความดันช่วย วิธีนี้นิยมนำไปใช้ใอาหารบรรจุขวดหรือบรรจุกระป๋อง ซึ่งมักจะใช้อาหารที่มีความเป็นกรดต่ำเป็นวัตถุดิบ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก เป็นต้น
2. การถนอมอาหารโดยการทำแห้ง
การทำแห้งหมายถึง การกำจัดน้ำหรือลดปริมาณความชื้อนออกจากอาหารเพื่อยับยั้งปฏิกิริยาของเอนไซม์ และสารเคมีต่าง ๆ ที่จะทำให้อาหารเน่าเสีย และนอกจากนี้ยังสามารถเก็บรักษาอาหารไว้ได้นาน
การทำให้แห้งที่นิยมใช้กันทั่วไปมี 3 วิธี ดังนี้
 1.วิธีทางธรรมชาติ คือ การผึ่งแดด ผึ่งลม ซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมาแต่โบราณ โดย
การนำเอาผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ที่ต้องการทำให้แห้ง ใส่ลงในตะแกรงหรือสังกะสีตั้งไว้กลางแดดหรือกลางแจ้ง ให้ได้รับความร้อนจากแสงแดด มีลมพัดผ่านที่จะทำให้ความชื้นในเนื้อสัตว์หรือผัก ผลไม้ระเหยออกไปจนแห้ง จากนั้นนำมาเก็บใส่ภาชนะปิดฝาให้สนิท

2.ใช้เครื่องมือช่วย เช่น เครื่องอบแห้ง เตาอบ เตาไมโครเวฟ เป็นต้น

3.การรมควันนิยมใช้ในการเก็บรักษาปลาและเนื้อสัตว์ต่างๆในรูปของปลาย่างเนื้อย่าง
วิธีทำ ขั้นต้อนต้องล้างปลาให้สะอาดอาจใช้เกลือทา หรือแช่น้ำเกลือก่อน แล้วนำไปว่างบนตะแกรงไม้ไผ่เหนือกองไฟ ใช้กาบมะพร้าว ชานอ้อย หรือขี้เลื่อยเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เกิดควัน ครอบเตาด้วยภาชนะที่สามารถเก็บควันให้รมปลาอยู่ภายในได้ ใช้ถ่านทำให้เกิดความร้อนและมีควันออกมาจับผิดปลาจนเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง มีกลิ่นหอมนำออกไปแขวนผึ่งลม สามารถเก็บไว้ได้นาน 2-3 เดือน

3. การถนอมอาหารโดยใช้ความเย็น
การใช้ความเย็นหมายถึง การทำให้อาหารคงสภาพเดิม โดยใช้ความเย็นที่ระดับอุณหภูมิต่ำ แต่ไม่ถึงจุดเยือกแข็ง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ชะลอการเน่าเสียและลดอัตราการเปี่ยนเปลงทางเคมีของอาหาร การใช้ความเย็นจะทำได้โดยการแช่น้ำแข็ง การใช้น้ำแข็งแห้ง การบรรจุภัณฑ์ในถุง กล่องกระดาษหรือกล่องพลาสติกแล้วนำไปแช่แข็ง

4. การถนอมอาหารโดยการใช้น้ำตาล
การถนอมอาหารโดยการใช้น้ำตาลเป็นการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ช่วยทำให้เก็บรักษาอาหารให้อยู่ได้นานโดยไม่เน่าเสีย ซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
4.1 การเชื่อม การใช้น้ำและน้ำตาลใส่ภาชนะตั้งไฟเคี่ยวให้น้ำตาลละลายเหนียวจนเป็นน้ำเชื่อมก่อน จากนั้นจึงใส่อาหารลงเคี่ยวต่อไปด้วยไฟอ่อน ๆ จนอาหารนั้นอิ่มชุ่มด้วยน้ำเชื่อม อาหารที่นิยมนำมาเชื่อม ได้แก่ กล้วย เผือก มัน มะยม ฟักทอง เป็นต้น

การเชื่อมแบบ่งออกได้ 3 วิธี ได้แก่ การเชื่อมแบบธรรมดา การเชื่อมแบบแช่อิ่ม และการเชื่อมโดยการฉาบ
 1.การเชื่อมแบบธรรมดา
จะใช้น้ำตาลไปคลุกเคล้าหรือผสมในอาหารที่ต้องการ เพื่อให้น้ำตาลไปยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในอาหาร ทำให้อาหารยังคงสภาพอยู่ได้นานโดยไม่เน่าเสีย เช่น ลูกตาลเชื่อม กล้วยเชื่อม เป็นต้น
2.การแช่อิ่ม
เป็นการนำเอาผักหรือผลไม้ไปแช่ในน้ำเชื่อม เพื่อให้น้ำเชื่อมซึมเข้าสู่ผักหรือผลไม้แบบค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งเกิดการอิ่มตัว ซึ่งสามารถทำได้โดยเพิ่มความเข้มข้นของน้ำเชื่อมด้วยการรินน้ำเชื้อมออกอุ่นแล้วเติมน้ำตาลลงไป หรือต้มน้ำเชื่อมจนงวดลงเพื่อให้ข้นขึ้นแล้วจึงเอาผักหรือผลไม้ลงแช่ ทำเช่นนี้ 3-4 ครั้ง จนน้ำเชื่อมไม่สามารถซึมเข้าไปในผักหรือผลไม้ได้อีก ผลไม้ที่นิยมนำมาแช่อิ่ม เช่น มะม่วง มะขาม มะกอก มะยม เป็นต้น
3.การฉาบ
เป็นการนำเอาผักหรือผลไม้ที่ทำสุกแล้ว เช่น เผือกทอด มันทอด กล้วยทอด เป็นต้น วิธีฉาบคือเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นน้ำเชื่อมแก่จัดจนเป็นเกล็ด แล้วเทลงผสมคลุกเคล้ากับของที่ทอดไว้ ทิ้งไว้ให้เย็นจนน้ำเชื่อมเกาะเป็นเกล็ดติดอยู่บนผิวอาหารที่ฉาบ
4.2 การกวน คือ การนำเอาเนื้อผลไม้ที่สุกแล้วผสมกับน้ำตาล ใช้ความร้อนปานกลางแล้วค่อยลดลงต่ำ ใช้ไม้พายคนหรือกวนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้น้ำระเหขออกจนกระทั่งเนื้อผลไม้ข้นเหนียว มีรสหวานจัดแล้วจึงยกลงจากเตาทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำเก็บใส่ขวดหรือหม้อปิดฝาให้สนิท เก็บไว้รับประทานได้หลายวัน ผลไม้ที่นิยมนำมากวน เช่น มะม่วง ทุเรียน สับปะรด เป็นต้น
4.3 การทำแยม เป็นการต้มเนื้อผลไม้ปนกับน้ำตาลด้วยไฟอ่อนในระยะแรก แล้วค่อย ๆ เพิ่มไฟขึ้นทีละน้อย หมั่นคนสม่ำเสมอ จนกระทั่งแยมเหนียวตามต้องการ กล่าวคือ เมื่อใช้ช้อนตักขึ้นแล้ว
ตะแคงช้อนเพื่อเทลงมา ถ้าระหว่างเทนี้แยมติดอยู่ที่ช้อนหรือไหลลงมาเป็นแผ่นเหนียว ๆ ก็ถือว่าใช้ได้ ผลไม้ที่นิยมนำมาทำแยม ได้แก่ สับปะรด ส้ม สตรอเบอรี่ มะปราง เชอรี่ แตงไทย กระเจี๊ยบ แตงโม ชมพู่ เป็นต้น
5. การถนอมอาหารโดยการหมักดอง
การถนอมอาหารโดยการหมักดอง เป็นวิธีการถนอมอาหารโดยการใช้เกลือ น้ำสม น้ำตาล เป็นส่วนประกอบหลักซึ่งอาศัยจุลินทรีย์บางชนิด เป็นตัวช่วยย่อยสลาย อาจจะเติมข้าวคั่ว เครื่องเทศ หรือน้ำซาวข้าวด้วยก็ได้ เพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาในการหมักดอง เพื่อให้อาหารนั้นมีรสเปรี้ยวหรือกลิ่นตามที่ต้องการ การหมักดองส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน หรือหลายเดือน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาหมักดอง เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ เป็นต้น สำหรับการทำกะปิ น้ำปลา ซีอิ้ว น้ำส้มสายชู เต้าเจี๊ยบสวนใหญ่จะใช้เวลาหมักนานประมาณ 4-9 เดือน
การหมักดองแบ่งออกเป็น 5 วิธี ดังนี้
5.1 การดองเปรี้ยว ผักที่นิยมนำมาดอง เช่น ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี ผักเสี้ยน ถั่วงอก เป็นต้น วิธีทำคือนำเอาผักมาเคล้ากับเกลือ โดยผสมน้ำเกลือกบน้ำส้มต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น นำมาเทราดลงบนผักที่เรียงไว้ในภาชนะ เทให้ท่วมผักปิดฝาภาชนะไม่ให้ลมเข้า หมักทิ้งไว้ 4-7 วัน ก็นำมารับประทานได้
5.2 การดอง 3 รส คือ รสเปรี้ยว เค็ม หวาน ผักที่นิยมดองแบบนี้คือ ขิงดอง กระเทียมสด ผักกาดเขียน การดองชนิดนี้คือ นำเอาผักมาเคล้ากับเกลือแล้วผสมน้ำส้ม น้ำตาล เกลือ ต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาเทราดลงบนผักปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน ก็นำมารับประทานได้
5.3 การดองหวาน ผักและผลไม้ที่นิยมนำมาดอง เช่น มะละกอ หัวผักกาด กะหล่ำปลี เป็นต้น โดยต้มน้ำตาล น้ำส้มสายชู เกลือ ให้ออกรสหวานนำให้เดือดทิ้งไว้ให้เย็น เทราดลงบนผักผลไม้ ทิ้งไว้ 2-3 วัน ก็นำมารับประทานได้
5.4 การดองเค็ม อาหารที่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์และผัก เช่น ปูเค็ม ปลาเค็ม กะปิ หัวผักกาดเค็ม ไข่เค็ม เป็นต้น ต้มน้ำส้มสายชูและเกลือให้ออกรสเค็มจัดเล็กน้อยให้เดือดทิ้งไว้ให้เย็น กรองใส่ภาชนะที่จะบรรจุอาหารดอง แล้วหมักทิ้งไว้ 4-9 เดือนจึงนำมารับประทาน

5.5 การหมักดองที่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์ คือการหมักอาหารพวกแป้ง น้ำตาล โดยใช้ยีสต์เป็นตัวช่วยให้เกิดแอลกอฮอล์ เช่น ข้าวหมาก ไวน์ เป็นต้น

6. การถนอมอาหารโดยการใช้สารเคมี

การถนอมอาหารโดยการใช้สารเคมีเป็นการป้องกันการเสื่อมเสียของอาหารเนื่องจากจุลินทรีย์ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์รวมถึงปรับปรุงลักษณะเนื้อสัมผัส กลิ่น รส ของอาหาร และป้องกันการเหม็นหืนของอาหาร

แกงส้มไข่ชะอม

ของต้องซื้อ..
  1. พริกแกงส้ม
  2.  เนื้อปลาช่อน
  3.  กุ้ง
  4. ปลาสลิด
  5.  ไข่ไก่
  6. ชะอม
  7. ผักชีใบยาว
  8. น้ำตาลปีบ
  9. น้ำปลา
  10. เกลือ
  11. มะนาว
 

วิธีทำอาหาร
  พริกแกงส้ม+เนื้อปลา(ต้มสุกแล้วแกะเอาเนื้ออย่างเดียว) โขลกรวมกันกับพริกแกงสำหรับทำน้ำแกง จะแกงใส่อะไร ชะอมกุ้งไหมง่ายดี ชะอมเด็ดแล้วตีไข่ปรุงรสนิดหน่อย เอาลงคลุกชะอมเหมือนเจียวไข่แต่ไม่ต้องใส่น้ำมันจะได้ไม่อมน้ำมัน เอาลงทอดไฟอ่อนๆ เพื่อให้สุกถึงข้างใน รอจนเหลืองดีทั้ง2ข้าง

 หั่นเป็นสี่เหลี่ยมพอดีคำา😊
เอาขึ้นพักไว้ให้เย็นเตรียมกุ้งหรือจะใช้ปลาสลิดแกะเป็นชิ้นทอดกรอบก็ได้
เสร็จแล้วพักไว้ 
แต่ถ้ามีไขปลาก็ดีจะดูหน้ากิน เเละเพิ่มรสชาติได้มากขึ้น😆😆 
ตอนเตรียมน้ำแกง ต้มน้ำแล้วแต่เราว่าจะกินกี่คน กะให้พอดีกับเครื่องแกงอน่ามากเกินน้ำจะใสไม่อร่อย น้ำเดือดใส่พริกแกงที่เตรียมไว้เคี่ยวสักพักให้น้ำข้น
เสร็จแล้วใส่น้ำมะขามเปียก เกลือหน่อย น้ำปลา ถ้าชอบออกหวานนิดๆก็ใส่น้ำตาลปี๊บ(จะกลมกล่อม)หรือน้ำตาลทรายก็ได้ ปรุงรสตามชอบ 😋😋

เสร็จใส่ชะอมไข่+กุ้งหรือปลาสลิดทอดกรอบ ลงไป 
ก่อนเอาขึ้นใส่ผักชีใบยาว(ผักชีฝรั่ง)หั่นชิ้นใหญ่ๆประมาณ1นิ้ว ..
เสร็จพร้อมเสิร์ฟ 😀😀

เคล็ดไม่ลับ..
แกงเสร็จบีบมะนาวใส่ลงไปในหม้อแกงหน่อยจะเปรี้ยวกลมกล่อมและหอมมากขึ้น 💜💜😆😆
วิดีโอวิธีการทำ.. 
การทอดปลา
เเกงส้ม